“การเป็นที่รู้จัก” มีประโยชน์หลายอย่างไม่ว่าจะเป็นประโยชน์ต่อ– หน้าที่การงาน– ธุรกิจ– รายได้– หรือแม้แต่ ชีวิตประจำวัน ถ้าคุณไม่โลกสวย เรื่องสิทธิความเท่าเทียมตั้งแต่แรกเกิดจนเกินไปคงนึกออกว่าระหว่างคนธรรมดา กับ คนซึ่งเป็นที่รู้จักใครจะได้รับโอกาสต่าง ๆ ในชีวิตมากกว่ากันใครจะได้รับความช่วยเหลือก่อนหากเดือดร้อน ซึ่งแน่นอน คำตอบก็คือ”ผู้ซึ่งเป็นที่รู้จัก” เริ่มต้นสร้าง Personal Brand เพื่อให้เป็นที่รู้จักได้อย่างไร คำแนะนำจากบรรดาผู้เชี่ยวชาญบอกว่าให้หา Passion ของคุณให้พบผมขอแปลความหมาย Passion ว่า ความคลั่งไคล้
เนื่องจาก แอลกอฮอล์ (Alcohol) จัดเป็นสารเคมีไวไฟ ด้วยเหตุนี้ทำให้หลายคนมีคำถามว่า การวางน้ำยาล้างมือ หรือ เจลล้างมือ ซึ่งมีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ (Alcohol Based Sanitizer) ไว้ในรถซึ่งจอดตากแดด จะก่อให้เกิดอันตรายจากไฟไหม้ หรือไม่ ? สำหรับคำถามนี้ แม้แต่สำนักข่าวใหญ่ ๆ ในต่างประเทศหลายแห่งก็ยังให้ข้อมูลที่ผิด กระทั่ง หน่วยงาน NFPA (National Fire
ถ้าจะอธิบายให้ง่ายที่สุดว่า การสร้าง Personal Brand คืออะไร คำตอบก็คือ การโฆษณาบุคคลให้มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จัก ในอดีตการสร้างแบรนด์มักเน้นการโฆษณาไปที่สินค้า (Product) มากกว่าบุคคล เนื่องจากข้อจำกัดด้านการใช้สื่อ ซึ่งมีอยู่เพียงแค่วิทยุ หนังสือพิมพ์ นิตสาร โทรทัศน์ ป้ายโฆษณา แต่เมื่อโลกเข้าสู่ยุคโซเชี่ยลเน็ตเวิร์ค ผู้คนสามารถสร้างช่องทางสื่อสารของตัวเองได้ ผ่านทาง Facebook , Youtube , Instragram และอื่น
หนังสือ Serial Winner: 5 Actions to Create Your Cycle of Success เขียนโดย Larry Weidel ว่าด้วยเรื่องของการเป็นผู้ชนะอย่างต่อเนื่อง ซึ่งมีหลักการสำคัญ 5 ข้อ ความหมายของคำว่า ผู้ชนะอย่างต่อเนื่อง (serial winner) พวกเราหลายคนอาจจะมีโอกาสได้รู้จัก กับคนที่ทำอะไรก็ประสบความสำเร็จไปหมด คนที่มักจะพูดคุยถึงโปรเจคใหญ่
ฟรีแลนซ์ (Freelance) ที่แปลว่า ผู้ประกอบอาชีพอิสระแท้จริงแล้วความหมายดั้งเดิมมาจากคำสองคำรวมกัน คือFree ที่แปลว่า อิสระและLance ที่แปลว่า หอกรวมกันเป็น หอกอิสระ(เป็นเช่นนี้จริง ๆ ไม่ใช่มุกตลกของผม) ที่มาของคำว่า หอกอิสระเริ่มต้นในสมัยโบราณ ซึ่งมนุษย์ยังทำสงคราม ต่อสู้กันด้วยหอก ด้วยดาบในเวลานั้น ทหารที่ต้องออกรบมีทั้งทหารอาชีพ และทหารรับจ้างทหารรับจ้างซึ่งเป็นอัศวินถือหอกไม่มีต้นสังกัดถูกเรียกกันว่า ฟรี แลนซ์ (Free Lance)ต่อมาเมื่อวงการหนังสือ เฟื่องฟูขึ้นอาชีพนักเขียน กลายเป็นอาชีพที่ไม่ได้ถูกจำกัดอยู่ในกลุ่มแคบ
การทดลอง สแตนฟอร์ด มาร์ชเมลโล เกิดขึ้นในปี 1970 วอลเตอร์ มิสเชล และ เอบเบ แอบเบเซ่น นักจิตวิทยา จากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ได้จัดการทดลองขึ้น โดยนำเด็กที่มีอายุระหว่าง 4-6 ขวบ ไปอยู่ในห้องว่างที่ปราศจากสิ่งรบกวน ตามลำพัง ในห้องดังกล่าวมีเก้าอี้ให้เด็กนั่งและมีโต๊ะหนึ่งตัวตั้งอยู่ข้างหน้า บนโต๊ะมีขนมมาร์ชเมลโล วางเอาไว้ หนึ่งชิ้น นักวิจัยบอกกับเด็กว่า“เมื่อฉันออกไปจากห้อง เธอสามารถกินขนมได้ แต่ถ้าเธอไม่กินและรอให้ฉันกลับมาที่ห้องนี้ก่อน
SCAMPER เริ่มต้นเป็นที่รู้จักกันในปี 1971 เมื่อ Bob Eberle ผู้เชี่ยวชาญด้านการศึกษา ได้กล่าวและอธิบายความหมายของคำนี้ไว้ในหนังสือ Games for Imagination Development SCAMPER เป็นเทคนิคที่ช่วยแก้ปัญหาในการประชุมระดมความคิด (ฺbrainstorming) สามารถนำมาใช้ในการคิดค้น ปรับปรุง พัฒนา ผลิตภัณฑ์ ได้เป็นอย่างดี วิธีใช้งาน เทคนิค SCAMPER คำว่า SCAMPER
Buyology เป็นหนังสือขายดี เขียนโดย Martin Linstrom ผู้ซึ่งรับผิดชอบโครงการวิจัยมูลค่า 224 ล้านบาท เรื่องการใช้เทคโนโลยี fMRI และ EEG เพื่อทำการศึกษาวิจัยสมองของผู้บริโภคว่า ทำไมและอะไรคือเหตุผลให้ตัดสินใจซื้อสินค้า ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้จากการวิจัย เป็นสิ่งที่สุดแสนจะน่าทึ่ง หนังสือเล่มนี้เหมาะสำหรับ– ผู้สนใจอิทธิพลของระบบประสาทที่มีผลต่อการตัดสินใจซื้อสินค้า– คนที่ใช้เงินเก่งและอยากหยุดพฤติกรรมนั้น– นักการตลาดผู้แสวงหาไอเดียใหม่ ๆ #2 ทำไมเมื่อเราเห็นคนอื่นหาว เราจึงหาวตามโดยไม่อาจควบคุมได้ นี่เป็นหนึ่งในอิทธิพลของ
Eat That Frog เขียนโดย Brian Tracy นักเขียนผู้มีผลงานหนังสือ มากกว่า 70 เล่ม เป็นที่ปรึกษาให้กับบริษัทต่างๆกว่า 1,000 แห่ง หนังสือเล่มนี้โดดเด่นเรื่อง การกำจัดอุปนิสัยผัดวันประกันพรุ่งการบริหารจัดการเวลาการเพิ่มประสิทธิผลการทำงาน #2 “ถ้าการกินกบตัวเป็น ๆ คือ สิ่งแรกที่คุณทำในทุกเช้า เวลาที่เหลือทั้งวัน จะไม่มีสิ่งเลวร้ายที่สุดเกิดขึ้นอีกแล้ว” “กบ” ของคุณ คือ
Poka-Yoke อ่านว่า โพคา-โยเกะ เป็นคำในภาษาญี่ปุ่น แปลว่า การป้องกันความผิดพลาด จริง ๆ แล้ว ที่มาของคำนี้ในตอนเริ่มต้น คือคำว่า baka-yoke ซึ่งแปลว่า การป้องกันคนโง่ แต่ต่อมาเพื่อความเหมาะสมในการใช้งาน ให้ดูสุภาพมากขึ้น จึงเปลี่ยนมาใช้คำว่า Poka-Yoke แทน ทฤษฎี Poka-Yoke ถูกนำมาใช้โดย Shigeo Shingo (ชิเงโอะ